ทำความรู้จัก Dark Web ซึ่งในความเป็นจริง Dark Web มุมมืดที่ดำสนิทของโลกออนไลน์นี้มีมานานนับสิบสิบปีแล้ว

เนื่องจากช่วงนี้มีประเด็นข่าวดีเจสาวฆ่าลูกแมวและถ่ายคลิปเพื่อไปแลกบิทคอยน์ใน Dark Web ซึ่งในความเป็นจริง Dark Web มุมมืดที่ดำสนิทของโลกออนไลน์นี้มีมานานนับสิบสิบปีแล้ว จากกระแสของคดีสังเวยน้องแมวอย่างหฤโหดตามที่แอดมิ้นได้แชร์มาเมื่อวาน ทำให้เว็บใต้ดินหรือที่เรียกว่า Deep Web และ Dark Web ถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้ง สมาชิกหลายท่านอาจจะสงสัยว่าเว็บใต้ดินที่ว่านี้มันต่างจากเว็บไซต์ทั่วไปอย่างไร? มันไปแอบอยู่ตรงไหนของโลกอินเทอร์เน็ต?? และถ้ามีจริงมันมีความดำมืดอะไรในจิตใจคนเผยแพร่อยู่ในนั้น??? วันนี้ผมขอพาทุกท่านไปรู้จักกับโลกใต้ดินของอินเทอร์เน็ต Into the World of Deep and Dark Web กันนะครับ

ปัจจุบันนี้ มีเว็บไซต์ที่เปิดเผยสู่สาธารณะที่สามารถค้นหาเจอโดยใช้ Search Engine เพียง 4% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 96% เป็นเว็บไซต์ที่ซ่อนตัวอยู่และไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยวิธีปกติ ลักษณะการทำงานและการเข้าถึงพื้นผิวข้อมูลของเว็บไซต์ต่างๆสามารถอธิบายให้เข้าใจง่ายๆได้ดังนี้ครับ

  • Surface Web คือ เว็บไซต์ที่เปิดให้ผู้ใช้เข้าถึงได้ด้วยวิธีปกติ (รู้จักกันในชื่อ World Wide Web) สามารถค้นหาเว็บไซต์เหล่านี้ได้ผ่าน Search engine ทั่วๆไปเบสิค

  • Deep Web เป็นเว็บไซต์ที่ไม่ปรากฎในฐานข้อมูล Search engine และไม่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าถึงได้ด้วยวิธีปกติ เช่น เว็บที่ใช้งานเฉพาะเครือข่ายภายในองค์กรต่างๆ

  • Dark Web เป็นเว็บไซต์ที่ตั้งใจซ่อนอำพรางการเข้าถึงและปกปิดข้อมูลผู้อยู่เบื้องหลังโดยส่วนใหญ่มีจุดประสงค์เพื่อใช้ในเชิงผิดศีลธรรมและกฎหมาย

ทีนี้คำถามของคนส่วนใหญ่ที่ใฝ่รู้ คือ เราจะสามารถค้นหาข้อมูลใน Deep Web และ Dark Web อันลึกสุดกู่ได้อย่างไร? ประการแรก เราต้องเข้าใจความหมายของ Deep Web และ Dark Web ก่อนเพราะทั้งสองคำนี้มักถูกนำมาใช้ในความหมายที่คลาดเคลื่อนอยู่บ่อยๆ ดั่งที่กล่าวมาข้างต้น #DeepWeb# คือ ส่วนหนึ่งของโลกอินเทอร์เน็ตที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะและไม่สามารถค้นหาได้ผ่าน search engine ไม่ว่าเว็บไซต์ใดๆก็ตามที่ต้องใช้รหัสผ่าน (specific pass-code) ในการเข้าถึงล้วนจัดเป็น Deep Web ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าการทำธุรกรรมการเงินของธนาคารไปจนถึงหน้าแก้ไขโปรไฟล์ในเว็บบอร์ดหรือ social networking service ต่างๆส่วนตัวที่เราใช้กัน ส่วน #DarkWeb# นั้นเป็นส่วนหนึ่งของ Deep Web อีกที ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่มีการป้องกันและเข้ารหัสอย่างแน่นหนา จำเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์และวิธีการพิเศษในการเข้าถึง ผู้ที่เข้ามาใช้บริการ Dark Web ส่วนใหญ่นั้น ทั้ง host และ user จะปกปิดตัวตนอย่างมิดชิด ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นใครทำอาชีพอะไรอยู่ที่ไหน กล่าวง่ายๆมันคือตลาดมืดออนไลน์ในโลกใต้ดินของโลกอินเทอร์เน็ตดีๆนี่เอง และนี่คือเหตุผลที่ทำไม Dark Web มักจะเต็มไปด้วยสิ่งผิดกฎหมายไร้ศีลธรรมมีแต่สิ่งเสื่อมทรามและอะไรอีกหลายอย่างบลาๆๆที่คนธรรมดาอย่างเราควรหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปข้องเกี่ยว

จากการวิจัยของ King’s College London พบว่าเกินครึ่งของสิ่งที่อยู่ใน Dark Web เป็นสิ่งผิดกฏหมายอย่างร้ายแรง
กิจกรรมในโลกมืดนี้มีหลากหลายตั้งแต่ระดับเล็กๆเช่น การรณรงค์ทางการเมือง บริการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ปลอมแปลงเอกสาร เส้นทางการฟอกเงิน ศูนย์รวมแฮ็คเกอร์มืออาชีพ สื่อลามกผิดกฎหมาย ไปจนถึงระดับร้ายแรงอาทิ การก่อการร้ายในประเทศต่างๆ ค้ามนุษย์ ค้ายา ค้าอาวุธเถื่อน ค้าอวัยวะในตลาดมืด รวมไปถึงมือปืนรับจ้างนักล่าประเภทต่างๆ☠️💀และเป็นทีแน่นอนว่าหากตัวตนของ user หรือ host ถูกเปิดเผยขึ้นมา พวกเขาจะต้องถูกกฎหมายตามล่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การปกปิดตัวตนจึงเป็นหัวใจสำคัญของคนในวงการที่เข้ามาใช้บริการต่างๆของ Dark Web.

คนใกล้ตายเป็นอย่างไร? ความรู้สึกคนกำลังจะตาย ความรู้สึกคนกำลังจะหมดลมหายใจ

“ตอนใกล้ตาย” มันมีความรู้สึกอย่างไร?

อาการของการ “ตาย” ที่คนอื่นได้ศึกษามาหรือเคยได้พูดคุย
กับคนมีประสบการณ์ใกล้ตาย (near-death experience) นั้นเป็นเช่นไร คุณหัชชา ณ บางช้าง เคยค้นคว้าเรื่องนี้มาเขียนใน “ภาวะหลังตาย” และเล่าว่า “กระบวนการตาย” ในระยะต่าง ๆ นั้นเป็นเช่นไร
ท่านบอกว่ามันมี 4 ขั้นตอนอย่างนี้

๑. ระยะแรก เป็นระยะที่ธาตุดินเริ่มสลายตัว
     กลายเป็นน้ำ ผู้ตายจะรู้สึกอ่อนระโหย     
     ไม่มีแรง การมองเห็นต่าง ๆ เริ่มเสื่อม   
      มองอะไร ๆ ก็ไม่ชัด ทุกอย่างดูมัว ไปหมด
      ทุกอย่างที่เห็น เหมือนมองไปกลางถนน
      ขณะแดดจัดๆภาพต่างๆจะเต้นระยิบระยับ
      เต็มไปหมด

๒. ระยะที่น้ำจะกลายเป็นไฟ ช่วงนั้น
     น้ำในร่างกายเริ่มแห้งลง จะรู้สึก ชา ๆ ตื้อ ๆ
     เริ่มหมดความรู้สึก ไล่จากปลายเท้าขึ้นมา
     ประสาทหูเริ่มไม่รับรู้คือเริ่มไม่ได้ยินเสียง
     อะไร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ควัน

๓. ระยะนี้ไฟเปลี่ยนเป็นลม  
     หูจะไม่ได้ยินอะไรอีกเลย รู้สึกหนาว
     จับใจ ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ หยุดหมด 
     ลมหายใจอ่อนลงเรื่อย ๆ  
     จมูกเริ่มไม่รับความรู้สึกเรื่องกลิ่น

๔. ระยะนี้ ธาตุลมจะเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุ
     ตอนนี้ เจตสิกทุกอย่าง รวมทั้งการหายใจ
     จะหยุดหมดพลังงานทั้งหลายที่เคย
     ไหลเวียนอยู่ในร่างกายจะไหลกลับคืนไปสู่
     ระบบประสาทส่วนกลางหมด ลิ้นแข็ง   
     ไม่รับรู้เรื่องรสชาติใดๆความรู้สึกสัมผัส 
     หมดไป ความรู้สึกอยากโน่น อยากนี่ต่าง ๆ
     ที่เคยมีก็หมดไป มีความรู้สึกเหมือน
     อยู่กับแสงเทียนที่กำลังลุกโพลงอยู่เท่านั้น

ท่านบอกว่าตอนนี้แหละที่แพทย์จะประกาศว่า
ผู้ป่วยในความดูแล “ถึงแก่กรรม” แล้ว (clinical death)

นั่นก็คือจุดที่ “เวทนา” ทั้งหมดดับไป สมองและระบบไหลเวียนต่าง ๆ ของร่างกายหยุดทำงานหมด แปลว่ารูปและนาม หรือเบญจขันธ์ ตายไปแล้ว

ก็ต้องถกกันต่อไปว่า ถ้าเราเชื่อว่า วิญญาณยังอยู่ต่อเมื่อร่างกายสลายไป จะไปอยู่ที่ไหนอย่างไรต่อไป

อ่านเจออีกแหล่งหนึ่งเรื่อง “ลักษณะการตาย” ตามแนวคิดแบบ “เซน” ที่คุณ “โชติช่วง นาดอน” เคยรวบรวมไว้ในหนังสือ “จิตคือพุทธะ” เมื่อนานมาแล้ว

ท่านบอกว่าคนเราตายได้สองลักษณะ คือ “ตายอย่างปราศจากที่พึ่ง” และ
“ตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่ง”

คนที่ตายย่างแรกนั้นเวลาใกล้จะสิ้นลม มีอารมณ์ผิดไปจากปกติ จิตใจกลัดกลุ้มยุ่งเหยิง เรียกว่า “จิตวิการ” ซึ่งหมายถึงจิตเกิดความปวดร้าวทรมานเพราะ
ยัง “ยึดติด” กับหลายเรื่อง

หรือที่เรียกว่า “ไม่ยอมตายทั้ง ๆ ที่ต้องตาย” นั่นคือจิตใจยังติดข้องกับอุปาทาน ๔ ประการคือ

๑. ติดอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง
๒. ห่วงใยอาลัยในสิ่งที่เป็นรูป และอรูป    
     โดยเห็นว่าเป็นของเที่ยง
๓. มีนิวรณ์ความวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน
     มาห้ามจิตมิให้บรรลุความดี
๔. มีความดูแคลนเมินเฉยในคุณพระรัตนตรัย

เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่ตายลักษณะอาการ
อย่างนี้ เรียกว่าตายอย่างอนาถา

ส่วนการตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่งนั้น
แปลว่าคนใกล้ตายมีสติอารมณ์ผ่องใส
ไม่หวั่นไหว และซาบซึ้งในวิธีของมรณกรรม และยึดหลัก ๔ ประการคือ

๑. มีอารมณ์เฉย ๆ  
     ซาบซึ้งถึงกฎธรรมดาแห่งความตาย
๒. ซาบซึ้งถึงสภาพการณ์สิ่งในโลกของ
     ความไม่เที่ยง ไม่เป็นแก่นสาร
๓. รำลึกถึงกุศลกรรมที่ได้ผ่านมาในชีวิต     
     และเกิดปิติปลาบปลื้ม
๔. ยึดมั่นเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
     อยู่ตลอดเวลาจนสิ้นลมหายใจ

ด้วยเหตุนี้แหละ, จึงเห็นว่าการ
“ฝึกตายก่อนตาย”ดั่งที่ท่านพุทธทาส หรือ.. หลวงพ่อ หลวงปู่ ครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะ..
หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี ท่านเคยสอนเรานั้น
เป็นเรื่องที่ประเสริฐสุดแล้ว

แต่คนส่วนใหญ่กลัวตาย แม้จะเอ่ยถึงคำว่าตายก็รับไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการ “แช่ง” ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครหนีความตายได้แม้แต่คนเดียว
การเรียนรู้ “มรณาอุปายะ” หรือ “ฝึกตายก่อนตาย” นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ทำให้มันสนุกเสีย ให้มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นน่ายินดี ก็จะทำให้ความทุกข์ระหว่างมีชีวิตอยู่นั้น
ลดน้อยถอยลง และเมื่อถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปก็ไม่ตกใจ
ไมตื่นเต้น ไม่รันทดและทรมานเพราะ..
ความกลัวและความไม่ต้องการที่จะจากไป

ชาวพุทธที่ฝึกปฏิบัติธรรมในสาระจริง ๆ (ไม่ใช่แค่ทำบุญแล้วนึกว่าจะต้องไปสวรรค์
โดยไม่ต้องปฏิบัติธรรม) ก็จะเข้าใจว่า.. “ขันธ์ทั้งห้า” ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนแปลงและทรุดโทรม และท้ายสุดก็แตกดับไป และระหว่างที่มรณกาลมาถึงนั้น ขันธ์ห้าก็ย่อมจะแปรปรวน จึงควรจะเตรียมตัวและเตรียมใจไว้

เมื่อความตายมาถึง, เราก็จะได้ไม่ทุรนทุราย และตายอย่างมีสติ และ “รู้เท่าทันความตาย” ซึ่งเป็นสุดยอดของการมีชีวิตอยู่นั่นเอง..

ขอขอบคุณ คุณธนัฐณ์ สกุลธัญวีสิริ

หมู่บ้านเต่า บ้านกอก ต.สวนหม่อน อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น

หมู่บ้านเต่า มัญจาคีรี ขอนแก่น : การท่องเที่ยวบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม
......
เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีน อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น มีเต่าเหลือง หรือเต่าเพ็ก อาศัยอยู่ร่วมกันกับชาวบ้านหลายพันตัว ชาวบ้านให้ความเคารพ ไม่ทำร้ายเต่า เพราะเชื่อว่าเป็นบริวารของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงอาศัยอยู่ร่วมกันแบบเกื้อกูลมาตั้งแต่ก่อตั้งหมู่บ้านกว่า 250 ปีก่อน

ในช่วงเช้าและเย็นของทุกวัน เต่าเพ็ก หรือเต่าเหลือง จะออกเดินไปมาตามท้องถนน ภายในครัวเรือนหรือระหว่างครัวเรือน ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอย่างกลมกลืน ที่นี่คือบ้านกอก หมู่ 3 และ 14 หรือที่คนเรียกติดปากกันว่า หมู่บ้านเต่า ตั้งอยู่ ต.สวนหม่อน อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น วิถีชีวิตคนกับเต่า เป็นภาพที่หาดูได้ยากของคนทั่วไป แต่ชินตาคนในพื้นที่มาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย    

ในช่วงกลางวันที่แดดร้อน เต่าเพ็กจะหลบตามมุมที่มีความชื้น ในเวลานี้นักท่องเที่ยวสามารถดูเต่าเพ็กได้ที่ดอนเต่า หรือสวนเต่าก่อนเข้าหมู่บ้าน วันนี้มีมัคคุเทศก์น้อย 4 คน มาเล่าประวัติความเป็นมาให้ทีมเราฟัง รวมถึงความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของเต่า พร้อมขยายความจากป้ายเตือนที่ห้ามนักท่องเที่ยวจับเต่าหงายท้อง และเคาะกระดองเต่า เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเต่า  และก่อนกลับบอกต้องบีบแตร 3 ครั้งเพื่อให้เจ้าคุณปู่ได้ทราบและให้เดินทางด้วยความปลอดภัย
      บริเวณเดียวกันนี้ยังมีศาลเจ้าพ่อมเหศักดิ์ หรือเจ้าคุณปู่ฟ้าระงึม ชาวบ้านนับถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยดูแลปกป้องหมู่บ้านให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข พร้อมกับรูปปั้นเต่าขนาดใหญ่ที่เชื่อกันว่าเป็นบริวารของเจ้าคุณปู่ โครงเต่าประดิษฐ์ที่อยู่ข้างกัน ชาวบ้านใช้เป็นสัญลักษณ์แห่รอบหมู่บ้าน ในงานประเพณีไหว้เจ้าคุณปู่ รดน้ำเต่า วันที่ 14 เมษายนของทุกปี เพราะความเชื่อว่าเต่าเป็นบริวารเจ้าคุณปู่นี้เองที่ทำให้ไม่มีใครกล้าทำร้ายเต่า และอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขจนถึงทุกวันนี้  (28 กันยายน 2561 เวลา 16:30 ระหว่างทางชัยภูมิไปขอนแก่น)

# บ้านเต่า มัญจาคีรี ขอนแก่น

บทความแนะนำ Recomment Article

วิเชียร ชิณวงษ์ ประวัตินายวิเชียร ชิณวงษ์ ประวัติวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าชุดจับกุม CEO อิตาเลี่ยนไทยลักลอบล่าสัตว์ป่า

ประวัติของนายวิเชียร ชิณวงษ์ นายวิเชียร ชิณวงษ์ เกิดที่บ้านลิ้นฟ้า อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ เรียนจบจากศรีสะเกษวิทยาลัย และจบมหาวิทยา...